top of page

MAX KLEIN BIBLE MINISTRIES

ยอห์น 15:1-8

การเกิดผลของคริสเตียน

เด็กๆ จะต้องเรียนรู้ให้มีความคิดและแรงจูงใจที่ถูกต้อง  และจะต้องได้รับการฝึกสอนให้ถ่อมตัว  เพื่อที่เขาจะมีความสุขและมีน้ำใจนักกีฬา   ดังนั้น พ่อแม่จำเป็นต้องสอนลูกที่ให้เอาใจเขามาให้ใจเรา, ให้เกียรติแก่คนอื่น, เล่นตามกติกาและมีมารยาท  พ่อแม่ก็ต้องสอนลูกให้ควบคุมอารมณ์ด้วยความคิดที่ถูกต้องและมีเหตุผล  ต้องฝึกลูกให้เคารพเชื่อฟังพ่อแม่และสิทธิอำนาจต่างๆที่ถูกต้องตามกฎหมาย    พ่อแม่ต้องห้ามลูกไม่ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ใดๆด้วยความโกรธ, ความเกลียดชัง, ความขมขื่น  ความกังวลใจ, ความกลัว, ความสงสารตัวเอง หรือการเห็นแก่ตัว เด็กๆจะต้องรับแรงจูงใจจากสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมและจะต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน   เด็กๆ จะพร้อมแข่งขันกีฬาก็ต่อเมื่อเขามีความคิดที่ถูกต้อง มีความถ่อมใจ  และมีแรงจูงใจที่ถูกต้องเท่านั้น

เด็กๆ จะต้องได้รับการสอนทักษะทางสังคม (social skills) ก่อนที่เขาจะสามารถเข้าแข่งขันกีฬาด้วยความคิดและพฤติกรรมที่ถูกต้อง  เช่นเดียวกัน คริสเตียนก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณและมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าก่อนที่เขาจะสามารถรับใช้พระองค์ด้วยความคิดและการกระทำที่ถูกต้อง  สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าคริสเตียนใหม่ไม่ควรจะเป็นพยานกับครอบครัวและเพื่อนๆ แต่หมายความว่าเขาจะต้องเติบโตฝ่ายวิญญาณก่อนที่จะรับใช้พระเจ้า ถ้าเขาไม่ได้เติบโตในพระคุณและความรู้ของพระเยซูคริสต์ก่อน  แรงจูงใจของเขาจะผิดพลาดไป  (2 เปโตร 3:18, 2 ทิโมธี 3:16-17)  ถ้าคริสเตียนไม่มีแรงจูงใจที่ถูกต้องและขาดสัมพันธภาพกับพระเจ้า  การรับใช้พระเจ้าของเขาจะไม่มีค่าอะไรเลย (1 โครินธ์ 13:2-3) เพราะฉะนั้น ยอห์นจึงเขียนว่า คริสเตียนจะต้องเข้าสนิทกับเถาองุ่น (ต้องมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า) เขาจึงจะเกิดผล

ยอห์น 15:1 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา”

 

ในการเปรียบเทียบนี้  พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบและมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบซึ่งอยู่ในกายเดียวกัน (Jesus Christ in hypostatic union) ทรงเป็นเถาองุ่นซึ่งเป็นแหล่งของการเกิดผล พระเจ้าพระบิดาทรงเป็นผู้ดูแลรักษา เป็นเจ้าของสวนองุ่น ซึ่งเล็งถึงการที่พระองค์ทรงเป็นผู้สถาปนาแผนการชีวิตของผู้เชื่อทุกคน

พระเจ้าพระบิดาทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนตอบสนองต่อความรักของพระองค์ (reciprocal love) พระเจ้าทรงรักเราตั้งแต่อดีตกาล  เราจึงต้องเรียนรู้และตอบสนองต่อความรักนั้น  เช่นเดียวกัน พระเจ้าพระบุตรก็ทรงรักเราตั้งแต่อดีตกาล  พระองค์ได้เสด็จมายังโลกโดยทรงรับสภาพมนุษย์เพื่อนำความรอดมาสู่เรา  ถ้าเราไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำเพื่อเราและไม่รักพระองค์  เราก็ไม่สามารถเกิดผลฝ่ายวิญญาณได้   ก่อนที่คริสเตียนจะเกิดผลได้นั้น  เขาต้องเข้าสนิทกับเถาองุ่นก่อน

 

ยอห์น 15:2 “แขนงทุกแขนงในเรา [ผู้เชื่อในพระคริสต์] ที่ไม่ออกผล พระองค์ [พระบิดาเป็นผู้ดูแลรักษา] ก็ทรงตัดออก [αἴρω / ไอโร] และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิด [รับการทดสอบผ่านสถานการณ์ที่กดดัน] เพื่อให้ออกผลมากขึ้น” 

 

ถึงแม้ว่าคริสเตียนทุกคนจะอยู่ในพระคริสต์ตลอดไปเป็นนิตย์ (โรม 8:1) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคริสเตียนทุกคนจะเกิดผล  ถ้าคริสเตียนไม่ได้ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่เติบโตฝ่ายวิญญาณ เขาจะไม่เกิดผล ถ้าเขาไม่ได้เกิดผล เขาต้องรับการตีสอนจากพระเจ้า ภาษากรีกใช้คำว่า ไอโร  ซึ่งมีความหมายว่า ยกขึ้น หรือเอาออกไป  (ไม่ใช่ ตัดทิ้งเสีย) ไอโร  เล็งถึงการตีสอนที่พระเจ้ามีต่อผู้เชื่อที่ไม่ยอมตั้งต้นใหม่ (สารภาพบาป) และปฏิเสธที่จะดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ  

แน่นอนที่สุดถ้าผู้เชื่อไม่รู้จักแผนการของพระเจ้า เขาก็จะไม่สามารถดำเนินชีวิตตามแผนการของพระองค์ได้  ถ้าเขาไม่มีชีวิตตามแผนการของพระเจ้า เขาจะต้องรับการตีสอน  และถ้าเขาไม่ตอบสนองต่อการตีสอน เขาก็จะถูกตัดไปจากโลกนี้โดยต้องเสียชีวิตเพราะบาปที่นำไปสู่ความตาย (1 ยอห์น 5:16) ถึงแม้ว่าคริสเตียนคนนี้จะตายอย่างน่าอับอาย แต่เขาก็ยังไปสู่สวรรค์ เพราะความรอดนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เขา

คริสเตียนที่กำลังเติบโตฝ่ายวิญญาณจะต้องถูกลิด ซึ่งเล็งถึงการทนทุกข์ของคริสเตียนเพื่อก้าวหน้าในชีวิตฝ่ายวิญญาณ เมื่อช่างปั้นได้ปั้นภาชนะที่สวยงาม เขาต้องนำภาชนะนั้นเข้าในเตาที่มีความร้อนสูง คริสเตียนก็เป็นเช่นนั้น  ไม่มีคริสเตียนคนใดที่สามารถเป็นผู้เชื่อที่ยิ่งใหญ่ได้โดยที่เขาไม่ได้ผ่านความทุกข์และการทดสอบ  เมื่อคริสเตียนกำลังเติบโตฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมการทนทุกข์ที่เขาไม่สมควรได้รับ  เปรียบเสมือนกับผู้ดูแลสวนซึ่งต้องลิดแขนงทั้งๆที่ยังเกิดผลอยู่  เพราะว่าถ้าผู้ดูแลสวนไม่ได้ลิดแขนงที่เกิดผล แขนงนั้นก็จะเกิดผลน้อยลงเรื่อยๆ  ถ้าผู้เชื่อที่กำลังเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้รับโอกาสที่จะประยุกต์หลักคำสอนพระคัมภีร์มาใช้กับสถานการณ์ที่กดดัน  เขาก็จะเย่อหยิ่งและจะหันเหออกจากทางของพระเจ้า  และไม่ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ

 

ยอห์น 15:3 “ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว [จากความบาปที่ได้ทำก่อนรับความรอด] ด้วยถ้อยคำ [พระกิตติคุณ] ที่เราได้กล่าวแก่ท่าน”

 

ในพระธรรมอิสยาห์ 43:25 มีเขียนไว้ว่า “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” เนื่องจากบาปที่คุณได้ทำก่อนได้รับความรอดนั้นถูกลบล้างไปแล้ว  คุณจึงไม่ควรรู้สึกผิดเกี่ยวกับบาปที่เคยทำในอดีต  เพราะมันจะเป็นอุปสรรคในการก้าวหน้าในชีวิตหลังได้รับความรอด

 

ยอห์น 15:4 “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา [มีสัมพันธภาพและความรักต่อพระคริสต์ทางพระวิญญาณบริสุทธิ์] และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน [ความคิดของพระเยซูคริสต์อยู่ในความคิดของเรา] แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น”  

 

ถ้าเราปราศจากการประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และปราศจากความรู้เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราก็จะไม่เกิดผล การเรียนรู้ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะนำให้เรามีความรักต่อ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งควรเป็นเป้าหมายของคริสเตียนทุกคน  คริสเตียนที่ไม่ได้เรียนรู้ชีวิตฝ่ายวิญญาณอาจจะรับใช้พระเจ้า และทำความดีมากมาย  แต่สิ่งเหล่านั้นจะเป็นการกระทำที่ตายแล้ว (ฮีบรู 6:1) 

 

ถ้าคริสเตียน(แขนง)ไม่ได้ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่มีความคิดของพระคริสต์อยู่ในจิตใจของเขา [คืออยู่แยกจากเถา] เขาไม่สามารถที่จะเกิดผลได้ การเกิดผลจำเป็นต้องประกอบด้วย 2 สิ่ง คือ การประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  และฤทธิ์เดชแห่งพระคำของพระเจ้า  ถ้าคริสเตียนทำอะไรก็ตามด้วยกำลังของมนุษย์(ฝ่ายเนื้อหนัง)  การกระทำของเขาจะเป็นการกระทำที่ตายแล้ว

 

ยอห์น 15:5 “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา [ความคิดของพระคริสต์อยู่ในจิตใจของผู้เชื่อ] ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว [ไม่ได้มีความคิดของพระคริสต์อยู่ในจิตใจ] ท่านทำสิ่งใดไม่ได้เลย”

 

เถาองุ่นได้ให้อาหารแก่แขนงฉันนั้น พระเยซูคริสต์ได้เลี้ยงดูเราด้วยหลักคำสอนพระคัมภีร์ซึ่งเป็นความคิดของพระองค์ผ่านการประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ฉันนั้น  ก่อนที่พระเยซูจะทรงทำพระราชกิจ พระองค์เองทรงใช้เวลา 30 ปีเพื่อเรียนรู้และเติบโตในชีวิตฝ่ายวิญญาณ (ลูกา 2:52) การเติบโตฝ่ายวิญญาณนั้นต้องมาก่อนการรับใช้พระเจ้าเสมอ มีแต่คริสเตียนที่โตขึ้นโดยเข้าใจและประยุกต์พระคำของพระเจ้า และมีความรักต่อพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสามารถเกิดผลได้ ถ้าปราศจากความคิดของพระเยซูคริสต์ในจิตใจแล้ว เราจะไม่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราไม่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เรา เราก็จะไม่เกิดผล

 

ยอห์น 15:6 “ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไปและถูกเก็บเอาไปเผาไฟ”

 

ในคำเปรียบเทียบนี้มีแขนงเพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ แขนงที่แข็งแรงดี และแขนงที่ตายแล้ว  แขนงที่แข็งแรงเกิดผล  แต่แขนงที่ตายแล้วเปรียบเสมือนกับการกระทำที่ตายแล้ว คือ การกระทำที่ผู้เชื่อทำเมื่ออยู่นอกสัมพันธภาพกับพระเจ้าและกระทำด้วยกำลังของมนุษย์ (เนื้อหนัง) ขอสังเกตว่า คำเปรียบเทียบบางคำจะไม่ตรงกับความหมายที่แท้จริง ในคำเปรียบเทียบนี้ แขนงถูกเปรียบกับทั้งผู้เชื่อและการกระทำของเขา   อย่างไรก็ตาม “ถูกเก็บเอาไปเผาไฟ”ไม่ได้หมายถึงผู้เชื่อ  แต่หมายถึงการกระทำซึ่งพระเจ้าไม่พอพระทัย   ผู้เชื่อไม่มีวันถูกเผาในไฟ  อาจารย์เปาโลก็ได้อธิบายอย่างชัดเจนว่า มีแต่การกระทำที่ตายแล้วเท่านั้นซึ่งถูกเอาไปเผาไฟ  ไม่ใช่ผู้เชื่อ

 

“บนรากนั้น [ความรอดโดยพระคริสต์] ถ้าผู้ใด [ผู้เชื่อ] จะก่อขึ้นด้วยทองคำ  เงิน  เพชรพลอย  [ผลฝ่ายวิญญาณจากการปฏิบัติชีวิตฝ่ายวิญญาณ] ไม้  หญ้าแห้งหรือฟาง  [การกระทำใดๆที่คริสเตียนทำโดยไม่มีสัมพันธภาพกับพระองค์ คือการกระทำที่ตายแล้ว]  การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น  เพราะวันนั้น  [วันที่พระคริสต์จะประเมินชีวิตของผู้เชื่อ]  จะให้เห็นได้ชัดเจนเพราะว่าเห็นชัดได้ด้วยไฟ  ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร  ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้  ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน    ถ้าการงานของผู้ใดถูกไหม้ไป  ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน  แต่ตัวเขาเองจะรอด [ขึ้นสวรรค์]  แต่เหมือนดังรอดจากไฟ” (1 โครินธ์ 3:12-15)

 

แต่ก็น่าเสียดายที่มีคริสเตียนหลายคนยังเข้าใจผิดว่า ผู้เชื่อที่ไม่ได้เกิดผลจะถูกทิ้งในบึงไฟนรกและถูกเผาไหม้ที่นั่น   แม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อที่ต้องอยู่ในบึงไฟนรกในกายนิรันดร์และต้องทนทุกข์ทรมานถึงที่สุด กายของเขาก็จะไม่มีวันถูกเผาไหม้  

 

ยอห์น 15:7 “ถ้า [εαν / เอ-อัน)] ท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น”

 

คำว่า  “ถ้า” ถูกแปลมาจากคำว่า เอ-อัน ซึ่งในข้อนี้ได้นำเสนออนุประโยคซึ่งต้องขึ้นอยู่กับสถานภาพฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ ถ้าผู้เชื่อเติบโตขึ้นในพระคุณและความรักของพระเจ้าจนทุกสิ่งที่เขาทำนั้นทำด้วยแรงจูงใจที่มาจากความรักที่เขามีต่อพระองค์  ไม่ว่าคนนั้นจะขอสิ่งใดเขาก็จะได้สิ่งนั้น  พระสัญญาที่เกี่ยวกับการอธิษฐานนี้ไม่ได้ไว้มีสำหรับผู้เชื่อทั่วไป  แต่มีไว้สำหรับผู้เชื่อที่รักพระเจ้าเท่านั้น คือผู้เชื่อที่เติบโตฝ่ายวิญญาณแล้ว  ผู้เชื่อที่เติบโตแล้วไม่ได้เป็นคนไร้สาระ   เขาจึงจะไม่ขอสิ่งที่ไร้สาระ  ผู้เชื่อที่เติบโตฝ่ายวิญญาณแล้วมีมาตรฐานที่ถูกต้อง  แรงจูงใจที่ถูกต้อง  และเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตอย่างถูกต้อง  

 

ยอห์น 15:8 “พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านก็เป็นสาวกของเรา”

เมื่อคริสเตียนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และมีแรงจูงใจจากความรักที่เขามีต่อพระเจ้า  ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดสิ่งนั้นก็จะเกิดผล   มีผลซึ่งจะปรากฏให้ทุกคนได้เห็น อย่างเช่น การรับใช้พระเจ้าในท้องถิ่นและการทำความดี  อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายสิ่งที่เป็นผลซึ่งไม่ปรากฏให้คนอื่นได้เห็น  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าภรรยาเชื่อฟังสามีเพราะเธอรักพระเจ้า นั่นคือการเกิดผล  ถ้าสามีทำผิดไปแต่ภรรยาให้อภัยเพราะความรักที่เธอมีต่อพระเจ้า นั่นคือการเกิดผล ถ้านักเรียนได้เรียนหนังสืออย่างขยันเพื่อพอพระทัยพระเจ้า นั่นก็คือการเกิดผล  และจะได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า

ผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อจะเกิดผลฝ่ายวิญญาณ โดยการให้อภัยผู้อื่นด้วยพระคุณของพระเจ้า หรือทนทุกข์โดยที่ไม่บ่นเพราะเขารักและเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ว่าผลจะปรากฏให้มนุษย์เห็นหรือไม่ก็ตาม  จะต้องเกิดจากแรงจูงใจที่ถูกต้องโดยการประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และการประยุกต์หลักคำสอนพระคัมภีร์มาใช้ในแต่ละสถานการณ์

bottom of page