top of page

MAX KLEIN BIBLE MINISTRIES

การประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจถึงการประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เราจำเป็นต้องแยกระหว่างการประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ถ้าอธิบายอย่างง่ายๆ การประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงควบคุมจิตใจของผู้เชื่อ แต่การทรงสถิตของพระวิญญาณคือการที่พระวิญญาณบริสุทธ์ทรงสถิตในร่างกายของผู้เชื่อ (1 โครินธ์ 3:16)  เมื่อเราได้รับการประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระองค์ทรงประทานฤทธิ์เดชเพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจ  จดจำ  ระลึกถึง  และประยุกต์หลักคำสอนพระคัมภีร์นำมาใช้กับประสบการณ์ของเรา (ยอห์น 14:26, 1 โครินธ์ 2:10-12, กาลาเทีย 5:22,23)   ในอีกด้านหนึ่ง  พระประสงค์ของการทรงสถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  คือการที่จะทำให้ร่างกายของผู้เชื่อเป็นวิหารของพระคริสต์ (ยอห์น 14:20)  และพระเจ้าพระบิดา (เอเฟซัส 2:22)

 

จงเลิกการเมาเหล้า [เป็นคำสั่งให้เลิกกับสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น] ซึ่งทำชีวิตให้เสื่อมทราม  แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ” (เอเฟซัส 5:18)

 

ข้อนี้เป็นการอุปมาโดยใช้คำเปรียบเทียบสิ่งที่ตรงข้ามกัน (analogy by antithesis) เมื่อคริสเตียนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ และได้เรียนหลักคำสอนพระคำภีร์อย่างสม่ำเสมอ  จิตใจของเขาจะได้รับการเติมเต็มด้วยหลักคำสอนพระคัมภีร์  จากหลักคำสอนนั้นเขาจะพัฒนาสติปัญญา และจะเห็นเป้าหมายของชีวิตอย่างชัดเจน  แต่ถ้าหากคริสเตียนดำเนินชีวิตนอกสัมพันธภาพกับพระเจ้าเป็นเวลานาน  เขาจะเกิดค่านิยมที่ผิดพลาดในชีวิต  จะเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตไม่ถูกต้อง  และจะพึ่งพาในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  หลักการคือ  เมื่อคริสเตียนไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนที่แท้จริง โดยอยู่ภายใต้พันธกิจการสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เขาจะเมาฝ่ายวิญญาณเพราะเสพเหล้าองุ่นแห่งหลักคำสอนเท็จ (เอเฟซัส 4:17-19)    หลักคำสอนเท็จนี้ทำให้แรงจูงใจ  การเรียงลำดับความสำคัญ  ความคิด  และการกระทำของเขานั้นผิดพลาดไป  ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขาจะเสื่อมทราม  เขาจะมองชีวิตอย่างคลุมเครือ  และชีวิตของเขาจะซัดไปเซมา

ในชีวิตฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าทรงประทานฤทธิ์เดชแก่ผู้เชื่อใน 2 รูปแบบ  ได้แก่ พระคำของพระเจ้า ซึ่งมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ (ฮีบรู 4:12) และการทรงประกอบด้วยพระวิญญาณในจิตใจของเรา  ซึ่งให้เราสามารถปฏิบัติชีวิตฝ่ายวิญญาณได้ อย่างไรก็ตาม  พระคำของพระเจ้าจะไม่มีประโยชน์ต่อเราจนกว่าพระคำนั้นจะถูกสะสมไว้ในจิตใจ  ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงช่วยเราให้ระลึกถึงในเวลาที่เราจะต้องใช้พระคำนั้น (ยอห์น 14:26) ไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบได้กับการที่อยู่ภายใต้การประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  และการมีพระคำของพระเจ้าสะสมไว้ในจิตใจแล้ว  มี 2 สิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้คริสเตียนมีจิตใจที่แข็งแกร่ง

 

“ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์ [ทรัพยากรฝ่ายวิญญาณซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานแก่ผู้เชื่อในสมัยคริสตจักกร]เพื่อท่านจะมีเรี่ยวแรงโดยฤทธิ์เดชพระวิญญาณของพระองค์ในตัวท่าน” (เอเฟซัส 3:16)

 

ข้อนี้ได้อธิบายถึงพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงประทานความเข้าใจในหลักคำสอนพระคัมภีร์ภายในจิตใจของผู้เชื่อ เมื่อมีจิตใจที่เข้มแข็งแล้ว  ผู้เชื่อสามารถมีชัยชนะเหนือปัญหาทุกเรื่องในชีวิต

 

การดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ กับ การเติบโตฝ่ายวิญญาณ

 

การดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ  และการเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่เหมือนกัน  การดำเนินฝ่ายวิญญาณ (ชีวิตฝ่ายวิญญาณ) เป็นสิ่งที่เด็ดขาด ผู้เชื่อจะประกอบด้วยพระวิญญาณ  (ดำเนินอยู่ในความสว่าง) หรือไม่ประกอบด้วยพระวิญญาณนั้น (ดำเนินอยู่ในความมืด)(1 ยอห์น 5-7) เราอาจจะดำเนินในความสว่างในช่วงเวลาหนึ่ง  แต่พอเรากระทำบาปทางความคิด  คำพูด หรือทางการกระทำ เราไม่ได้ดำเนินฝ่ายวิญญาณแล้ว  แต่อยู่นอกสัมพันธภาพกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราอยู่นอกสัมพันธภาพกับพระวิญญาณแล้ว เราจำเป็นต้องสารภาพบาปของเราอย่างถูกวิธีต่อพระเจ้าพระบิดา เพื่อจะได้กลับเข้าสู่สัมพันธภาพกับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ( 1 ยอห์น 1:9)

การดำเนินฝ่ายวิญญาณเป็นสถานะที่ชัดเจน (absolute)  แต่การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นสถานะที่มีหลายระดับ  ในคริสตจักรมีผู้เชื่อที่ยังเป็นทารกฝ่ายวิญญาณ (1 เปโตร 2:2),  มีผู้ใหญ่ คือคริสเตียนซึ่งรักจิตใจของตน  และมั่นคงในชีวิต  ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร (สุภาษิต 19:8; ฟิลิปปี 4:11-13), และมีผู้เชื่อที่โตแล้ว  คือคริสเตียนที่รักพระเจ้า (ยอห์น 14:15; โรม 8:28; ยากอบ 1:12)   อย่างไรก็ตาม  ผู้เชื่อที่เป็นทารกในพระคริสต์อาจมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าเพราะอยู่ภายใต้การประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะที่ผู้เชื่อที่โตแล้วอาจจะอยู่นอกสัมพันธภาพกับพระองค์  ดาวิดเป็นผู้เชื่อที่โตมากแล้วเมื่อเขากระทำการล่วงประเวณีและฆาตกรรม  จากตัวอย่างของเขา เรามีหลักการดังนี้ว่า เมื่อผู้เชื่อได้เสียการประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป  เขาสามารถกระทำบาปที่ร้ายแรงมาก

อายุฝ่ายร่างกายไม่เกี่ยวกับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ การเติบโตฝ่ายวิญญาณถูกกำหนดด้วยปริมาณหลักคำสอนพระคัมภีร์ที่คุณได้สะสมไว้ในจิตใจพร้อมที่จะถูกเรียกมาใช้ในกระแสความคิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  การเติบโตฝ่ายวิญญาณจะนำไปถึงความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณและความถ่อมใจ ความเข้มแข็งนั้นจะมาผ่านทางพันธกิจการสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความถ่อมใจนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจ และการเห็นคุณค่าในพระคุณของพระเจ้า  และการเชื่อฟังพระคำของพระองค์  ถ้าผู้เชื่อมีหลักคำสอนพระคัมภีร์น้อยในจิตใจของเขา  ก็ถือว่าเขายังเป็นทารกอยู่  แต่ถ้าเขาได้ฟังหลักคำสอนพระคัมภีร์ผ่านการสอนอย่างถูกต้องสม่ำเสมอเป็นเวลานาน   จนได้เข้าใจแผนการของพระเจ้าอย่างชัดเจน และมีความชื่นชมในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขา ก็ถือว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ในกรณีที่เขาได้พัฒนาความรักที่เขามีต่อพระเจ้า และเชื่อฟังพระบัญญัติทุกประการที่มีอยู่ในพระคำของพระองค์ (ยอห์น 14:15)  ก็ถือว่าเขาเป็นผู้เชื่อที่โตแล้ว 

เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเข้าใจว่าการเติบโตฝ่ายวิญญาณไม่ได้มาจากการรับใช้พระเจ้า  การร้องเพลงนมัสการ  การอธิษฐาน  หรือการถวายทรัพย์  แต่ได้มาจากความเข้าใจที่มีในพระคำของพระองค์  “แต่ขอท่านทั้งหลายจงเติบโตขึ้นในพระคุณและความรู้ ซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (2 เปโตร 3:18ก) การรับใช้พระเจ้า  การร้องเพลง  การอธิษฐาน และการถวายทรัพย์  เป็นผลภายหลังจากการเติบโตฝ่ายวิญญาณแล้ว  ไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้เติบโตฝ่ายวิญญาณ

อาทิเช่น ผู้เชื่อยิ่งเติบโตก็จะยิ่งถวายเกียรติแด่พระเจ้าในเวลาร้องเพลงนมัสการพระองค์ตราบใดที่เพลงนั้นถูกต้องตามหลักคำสอนพระคัมภีร์ แต่ขอสังเกตว่า  เพลงส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนขึ้นมาโดยผู้เชื่อที่โตแล้ว  เนื้อเพลงจึงอาจผิดกับหลักคำสอนพระคัมภีร์ได้  ในกรณีนี้  การฟังและร้องตามเพลงนั้นเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า  และไม่มีคุณค่าในการนมัสการพระเจ้า

การอธิษฐานเป็นพันธกิจอัศจรรย์ซึ่งอาศัยการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ยิ่งผู้เชื่อได้เติบโตมากเท่าไหร่ การอธิษฐานก็จะยิ่งเกิดผลมากเท่านั้น (ยากอบ 4:3; 1 ยอห์น 3:22)  เพราะฉะนั้น  การร้องเพลงถวายแด่พระเจ้า  และการอธิษฐานมีบทบาทที่สำคัญมากในชีวิตคริสเตียน  แต่ทั้ง 2 สิ่งนี้ไม่มีส่วนในการสร้างผู้เชื่อให้เติบโตขึ้นฝ่ายวิญญาณ

สิ่งใดที่ผู้ไม่เชื่อสามารถทำได้นั้น สิ่งนั้นไม่ได้มีส่วนในชีวิตฝ่ายวิญญาณ  มีความคิดที่ผิดๆหลายเรื่องเกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณ อย่างเช่น บุคลิก และการแต่งกาย    สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเครื่องวัดชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ  การพูดเสียงหวาน  ท่าทีสุภาพ  การแต่งตัวเรียบร้อย  การแสดงความเคารพนับถือ  และการแสดงถึงการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นผู้เชื่อที่โตแล้ว หรือคุณอาจเป็นคนที่มีคุณธรรมสูง  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า  ผู้ไม่เชื่อก็สามารถทำทุกสิ่งดังกล่าวได้  รวมถึงการมีคุณธรรมสูงด้วย

การเลิกทำบางสิ่งบางอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าคนนั้นได้เติบโตฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกัน  หากคุณเลิกการพนัน  เลิกดื่มเหล้า  เลิกสูบบุหรี่  ฯลฯ      นั่นยังไม่ได้หมายความว่าคุณกำลังดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณ  การสูบบุหรี่อาจทำให้คุณเป็นมะเร็งปอด  แต่การกินพริกเยอะก็จะทำให้คุณเป็นโรคกระเพาะ  และการกินช๊อคโกแลตก็ทำลายฟัน การที่จะนำสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพเข้าไปในร่างกายนั้นไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นบาป  

ในทำนองเดียวกัน ถ้าบาปของคุณไม่เลวร้ายเท่ากับบาปของคนอื่น นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณเป็นคริสเตียนทีดีกว่าเขา อาจมีคริสเตียนคนหนึ่งที่กังวลใจตลอดเวลา  อีกคนหนึ่งเป็นคนขี้เมา  คริสเตียนที่ชอบกังวลบอกกับตัวเองว่า “ฉันดีกว่าไอ้ขี้เมาคนนั้น”  แต่ความคิดแบบนี้ผิดกับพระคำของพระเจ้า  พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าความกังวลใจเป็นบาปที่ดี  และการเมาเหล้าเป็นบาปที่เลวทราม  ในตัวอย่างนี้ทั้ง 2 คนนั้นไม่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า

ผู้เชื่อที่ชอบเข้าร่วมกับกิจกรรมของคริสตจักรไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคริสเตียนที่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดี  เช่นเดียวกัน การถวายทรัพย์ การเข้าประชุมนมัสการหรือประชุมอธิษฐานสม่ำเสมอ  การพาคนใหม่เข้าโบสถ์  และการสอนรวีเด็ก  ไม่ได้เป็นเครื่องวัดถึง การเติบโตฝ่ายวิญญาณ อาจมีคริสเตียนบางคนที่อธิษฐานวันละ 4 ชั่วโมงทุกวัน  แต่ไม่มีความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณพอที่จะจัดการกับปัญหาประจำวัน หรือผ่านการทดสอบความเชื่อแม้เป็นการทดสอบเพียงเล็กน้อย คริสเตียนที่อธิษฐานยาวนานอาจจะไม่ได้เป็นคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ แต่การอธิษฐานที่ตรงกับพระประสงค์ของพระเจ้าต่างหากที่เป็นเครื่องวัดการเติบโตฝ่ายวิญญาณ

การมีชีวิตฝ่ายวิญญาณเป็นสถานะที่ชัดเจน  ผู้เชื่ออาจอยู่ภายใต้การประกอบด้วยพระวิญญาณหรือไม่มีก็ได้  แต่ไม่มีสถานะซึ่งเขาอาจประกอบด้วยพระวิญญาณ “ครึ่งหนึ่ง”  หรือ “เกือบเต็ม” เป็นต้น  เมื่อคริสเตียนทำบาป  เขาไม่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม  เมื่อเขาได้กล่าวความบาปของเขาต่อพระบิดา  เขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประกอบในจิตใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง    ในอีกด้านหนึ่ง  การเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นสถานะที่ขึ้นอยู่กับปริมาณของหลักคำสอนพระคัมภีร์ในจิตใจ  รวมกับความแข็งแกร่ง  และความถ่อมใจของผู้เชื่อแต่ละคน

bottom of page